“บลจ.กรุงไทย”...มั่นใจพื้นฐานบริษัทญี่ปุ่นพื้นฐานแกร่ง ROE แนวโน้มดีจากศักยภาพการผลิตที่ดีขึ้น ส่ง ‘กอง KT-JPFUND’ ลุยหุ้น Nikkei225 เสนอขายถึงวันที่ 8 มี.ค. นี้
>>
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส4/18 ของญี่ปุ่น ขยาย 0.3% จากอุปสงค์ในประเทศกลับมาขยายตัวทั้งหมดจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงอุปสงค์ต่างประเทศ ขณะที่การส่งออก และนำเข้าก็ฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดี
ทั้งนี้ Bloomberg คาดว่าดัชนีนิคเคอิ 225 ในปี 2020 ขึ้นไป น่าจะมีโอกาสอยู่ที่ 40,000 จุด เนื่องจาก
- สัดส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) มีค่าสูงขึ้นจากศักยภาพการสร้างผลผลิตที่สูงขึ้น ผ่านการลงทุน (Capex)
- การทำวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น (R&D)
- การลดภาษีธุรกิจและการผ่อนคลายกฎเกณฑ์
- รวมถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจในญี่ปุ่นเริ่มสนับสนุนผู้ถือหุ้นมากขึ้น การเติบโตของเงินทุนเริ่มกลับมา
“นอกจากนี้ บริษัทในญี่ปุ่นถือเงินสดมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก สามารถสร้างเงินสดได้มากกว่าการใช้เงินสดของตัวเอง และเงินสดจำนวนมากจะช่วยสนับสนุนการทำ Capex/R&D รวมถึงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น”
นายชวินดา ยังกล่าวอีกว่า จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเปิดจำหน่าย
- ‘กองทุนเปิดเคแทม เจแปน อิควิตี้ พาสซีฟ ฟันด์ (KT-JPFUND)’ เสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 มี.ค. 19 โดยกองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ
- ‘กอง IShares Core Nikkei 225 ETF’ เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม
- โดยกองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนในญี่ปุ่น ที่เป็นส่วนประกอบของ ‘ดัชนีNikkei 225’ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี Nikkei 225
โดยจุดเด่นของ ‘กอง KT-JPFUND’ จะเน้นลงทุนให้ได้ผลลัพธ์ให้ใกล้เคียงกับดัชนีนิคเคอิ 225 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมากกว่า 60 ปี ลงทุนขนาดใหญ่ในตลาดญี่ปุ่นประมาณ 225 ตัว ในหลากหลายอุตสาหกรรม มีการทบทวนหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี โดยพิจารณาจากสภาพคล่องในตลาด และความสมดุลของหมวดอุตสาหกรรม
“การลงทุนผ่าน ‘กอง KT-JPFUND’ ทำให้ได้โอกาสของการลงทุนที่น่าสนใจ จากมูลค่าตลาดหุ้นที่ค่อนข้างถูกในประเทศญี่ปุ่นและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทโดยเฉลี่ยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”